รหัสสินค้า | SKU-03488 |
หมวดหมู่ | พระจังหวัดสุพรรณบุรี |
ราคา | 299.00 บาท |
สถานะสินค้า | พร้อมส่ง |
อัพเดทล่าสุด | 13 มี.ค. 2568 |
จำนวน | ชิ้น |
เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี
เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีเป็นเทวรูปขอมสมัยไพรกเมง อายุในราว พ.ศ.1185-1250 (ประติมากรรมขอม ศาสตราจารย์ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล หน้า 1) สมัยก่อนสร้างเมืองพระนคร (PRE ANGKORIA PERIOD) เพราะพระเศียรสวมหมวกทรงกระบอกหรือหมวกแขก
ชาวบ้านเล่ากันว่า ?เจ้าพ่อหลักเมือง? ลอยน้ำมา แล้วมาติดค้างอยู่ที่ชายตลิ่ง มีคนมาเห็นเข้าพยายามชักลากขึ้นจากน้ำก็ไม่ยอมขึ้น ต้องทำพิธีบวงสรวงจึงอัญเชิญขึ้นมาได้ เห็นว่าเป็นอัศจรรย์และเป็นอภินิหารจึงสร้างศาลขึ้นให้เป็นที่ประดิษฐาน และทำการเคารพบูชากันเรื่อยมา ศาลที่สร้างครั้งแรกคงเป็นศาลไม้เล็กๆ พอประดิษฐานได้เท่านั้น ผู้พบและผู้สร้างน่าจะเป็นคนจีน เพราะอาณาบริเวณนั้นมีคนจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ทำไร่ผัก จากการสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ว่าพบมานานแล้ว คำนวณว่าไม่น้อยกว่า 150 ปี
เมื่อราว 50-60 ปี (ระหว่าง พ.ศ.2475-2485) อาณาบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมีต้นไม้ขึ้นรกรุงรัง เป็นสุมทุมพุ่มไม้ ทางเข้าศาลรกทึบ ค่อนข้างเปลี่ยวไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา เป็นทางคนเดินแคบๆ เวลาเดินสวนทางกัน ต้องเลี่ยงออกสองข้างทางทั้งคู่ ชาวตลาดจังหวัดสุพรรณบุรีไปนมัสการต้องเดินไปสุดถนนนางพิม เลี้ยวขวาผ่านต้นสะตือซึ่งอยู่ริมน้ำและต้นจามจุรีอีกในราว 100 เมตร ข้ามเรือจ้างไปขึ้นท่าวัดประตูสาร
มีเรื่องเล่ากันว่าเมื่อในราว 80 ปีมาแล้ว ใครจะข้ามเรือจ้างไม่มีสตางค์ให้ค่าข้าม เอาพระผงสุพรรณบุรีองค์หนึ่งให้เป็นค่าข้ามเรือจ้าง ซึ่งมีมูลค่าเพียง 1 สตางค์แดงเท่านั้น เมื่อข้ามไปฝั่งวัดประตูสารแล้วเดินไปออกหลังตลาดวัดประตูสารซึ่งเป็นทางเดินขรุขระ ถ้าเป็นฤดูฝนทางเดินเฉอะแฉะเต็มไปด้วยโคลนตม
ตรุษจีน สารทจีน ชาวตลาดจังหวัดสุพรรณบุรีไปสักการะเจ้าพ่อหลักเมืองกันเนืองแน่น พวกมิจฉาชีพคอยถือโอกาสฉกชิงวิ่งราว กระชากสร้อยคอคนที่ไปไหว้เจ้าอยู่เนืองๆ จนเป็นที่หวาดหวั่นแก่คนที่จะไปไหว้เจ้า
ฤดูน้ำเหนือหลาก น้ำท่วมทุ่งนา นาข้าวเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ตัวศาลประดิษฐานอยู่บนเนินสูงน้ำไม่ท่วม บางปีน้ำมากเอ่อล้นเข้ามาท่วมชานด้านหน้า ชาวตลาดสมัยโน้นพายเรือไปเที่ยวศาลเจ้าพ่อเวลาตอนบ่าย-เย็น เป็นเสมือนจุดนัดพบ โดยเอาเรือเล็กเข้าทางด้านหน้าวัดประตูสาร ลัดเลาะไปตามเพนียดคล้องช้างโบราณ ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ขึ้นเต็มเพนียดทั้งสองข้างจนทะลุถึงศาลเจ้าพ่อ สมัยโน้นเราไม่รู้หรอกว่าทางน้ำที่เราผ่านไปนั้นเป็นเพนียดคล้องช้างสมัยโบราณ เพิ่งมารู้เอาเมื่อไม่กี่มานี่เอง
หน้าศาลเจ้าพ่อมีสะพานไม้ข้ามคลองจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น เด็กๆ กระโดดน้ำเล่นกันบนสะพานสนุกสนาน เรือบางลำเอาข้าวไปรับประทานกัน เรียกกันว่า ?กินข้าวทุ่ง? สมัยก่อนเป็นที่นิยมกัน พอถึงฤดูน้ำเหนือหลากเต็มท้องทุ่ง ชาวเมืองพายเรือไปเที่ยวตามทุ่งนาเอาข้าวไปรับประทานกันเป็นที่สำราญบานใจ ผู้เขียนกำลังหนุ่มก็ไปสนุกกับเขาทั้งที่ศาลเจ้าพ่อและเป็นเที่ยวตามทุ่งนา ปัจจุบันบรรยากาศดังกล่าวไม่มีแล้ว
เจ้าพ่อหลักเมือง
เป็นพุทธปฎิมากรรมสลักบนแผ่นหินแบบนูนต่ำ (Relief) ในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาที่ชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ทิเบต ญวน เขมร นับถือ เป็นศิลปะแบบขอมเป็นรูปพระวิษณุกรรมสวมหมวกแขก ในศิลปะไพรกเม็ง อายุประมาณ 1300-1400 ปีมาแล้ว มีพระนามว่าพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ พระนารายณ์สี่กร มีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ และเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ประสพแต่ความสุขความเจริญ เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ เจ้าแม่กวนอิม ตามคำบอกเล่าต่อๆกันมา เมื่อประมาณ 150 ปีมาแล้ว มีผู้พบพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จมดินอยู่ตรงริมศาลเจ้าพ่อ ชาวบ้านจึงช่วยกันอัญเชิญขึ้นข้างบน พร้อมกับสร้างศาลใหม่ให้เป็นที่ประทับ
มีคนจีนชื่อ เฮียกงเป็นผู้ดูแลรักษาเรื่อยมา
เมื่อครั้งโบราณมีคำกล่าวว่า " ห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณจะทำให้มีอันเป็นไป "
เมื่อ พ.ศ. 2435 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ ได้ทรงสักการะเจ้าพ่อหลักเมือง ได้ประทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างศาลเพิ่มขึ้น พร้อมวางแผนให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองสุพรรณ
พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระดำรัสว่า "เข้าทีดีหนักหนา แต่เขาไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ว่าถ้าขืนไปจะเป็นบ้าไม่ใช่หรือ" สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงกราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าไปมาแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยังรับราชการมาจนบัดนี้ พระพุทธเจ้าหลวงทรงตรัสสั้นๆว่า "ไปซิ" จากนั้นพระองค์จึงเสด็จมาเมืองสุพรรณ ในคราวเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2447 และทรงกระทำพลีกรรมเจ้าพ่อหลักเมือง และพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อสร้างเขื่อนรอบเนินศาล ทำชานไว้สำหรับคนที่บูชา สร้างกำแพงแก้ว ต่อตัวศาลเพิ่มเติมออกมา ข้างหน้าเป็นแบบเก๋งจีน โดยทั่วไปศาลหลักเมืองนั้นจะทำด้วยไม้ บนยอดจะเป็นหัวเม็ด
แต่หลักเมืองของ สุพรรณนี้พิเศษกว่าหลักเมืองทั่วไปคือ จะเป็นหินและมีพุทธปฎิมากรอยู่ด้วย
ราว พ.ศ.2505 ถนนมาลัยแมนตัดมาจากนครปฐม ผ่านอำเภออู่ทอง มาบ้านรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี เฉือนเพนียดคล้องช้างหายไปครึ่งหนึ่ง สร้างสะพานข้ามแม่น้ำสุพรรณเชิงเจดีย์กุฎีสงฆ์ ศิลปากรก็ไม่ทราบ เมื่อ 20 กว่าปียังมีร่องรอยอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าปัจจุบันยังมีร่องรอยของเพนียดอยู่หรือเปล่า เพราะอาณาบริเวณนี้เป็นที่ของกรมการศาสนาอยู่ในความปกครองของทางราชการ ให้ประชาชนเช่าปลูกเคหะสถานหมด แม้แต่พุทธสถานซึ่งเป็นองค์เจดีย์โบราณ กรมการศาสนาอนุญาตให้ประชาชนเช่าที่ดินปลูกอาคารเบียดชิดกับองค์เจดีย์ ด้วยเหตุดังกล่าวทางเข้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทางน้ำจึงถูกตัดขาดโดยปริยาย พูดถึงความจำเป็นปัจจุบันไม่มี เพราะการสัญจรไปมาทางบกสะดวกกว่ากันมาก อีกประการหนึ่งน้ำในแม่น้ำก็ไม่มากเหมือนสมัยเมื่อ 50-60 ปีก่อน พอถึงฤดูน้ำๆ นองมาจริงๆ ปัจจุบันน้ำในแม่น้ำไม่มีเช่นแต่ก่อน
ตั้งแต่เริ่มมีเขื่อนภูมิพล (เขื่อนยันฮี) เพราะจะต้องกระจายน้ำเข้าทุ่งไปทุกๆ จังหวัดเพื่อปลูกข้าว คณะกรรมการดูแลและจัดผลประโยชน์ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเป็นชาวจีนมาตั้งแต่เริ่มแรก สืบติดต่อกันมาร้อยกว่าปี ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของทางราชการ มาปัจจุบันเป็นกรรมการชาวไทยเชื้อสายจีน โดยมี นายบรรหาร ศิลปอาชา ส.ส.จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นประธานกรรมการ ตั้งแต่ครั้งยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคชาติไทย ปีหนึ่งๆ คณะกรรมการจัดให้มีพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อหลักเมือง โดยจัดเป็นงานนักขัตฤกษ์ประจำปีใหญ่โตมโหฬารในบริเวณตัวตลาดจังหวัดสุพรรณบุรี เรียกว่า ?งานทิ้งกระจาด? ระหว่างกลางเดือน 7 ของจีน ตรงกับเดือน 9 ของไทยทางจันทรคติ หรือในระหว่างเดือนสิงหาคม-กันยายน ทางสุริยคติ ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวจีนมาสักการะเจ้าพ่อหลักเมืองกันอย่างคับคั่ง แต่ก่อนจัดงาน 3 วัน 3 คืน
ต่อมาเพิ่มเป็น 5 วัน 5 คืน มีงิ้วแต้จิ๋วสมโภช 2 โรง งิ้วไหหลำ 1 โรง และลิเก 1 โรง มีร้านค้าจากต่างจังหวัดมาออกร้านขายของไม่น้อยกว่าร้อยร้าน ทำให้ตัวตลาดจังหวัดสุพรรณบุรีแออัดไปด้วยผู้คนที่มาเที่ยวเตร่ในงาน แม้สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นทางราชการให้ทุกๆ บ้านพรางแสงด้วยใช้ผ้าฝ้ายย้อมสีน้ำเงินหุ้มตะเกียง ซึ่งเรียกกันว่า ?ผ้ามาตรฐาน? แต่งานทิ้งกระจาดของจังหวัดสุพรรณบุรีก็หาได้งดไม่ จัดต่อต่อกันทุกๆ ปี ความจริงงานทิ้งกระจาดของจังหวัดอยุธยา และดูเหมือนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีก็มี แต่เป็นงานไม่ใหญ่เท่างานที่จังหวัดสุพรรณ
รายละเอียดในการรับประกันพระ
ทางร้านรับประกันพระแท้ " ตามหลักมาตรฐานสากล " ของวงการพระเครื่อง
ในระยะเวลา 7 วัน หลังจากท่านได้รับพระหรือวัตถุมงคลจากทางร้าน
หากเก๊ยินดีคืนเงินเต็มจำนวนโดยไม่หักเปอร์เซ็นต์ใดๆ ทั้งสิ้น
หมายเหตุ สำคัญค่ะ
( ถ้าเกินระยะเวลา 7 วัน หลังจากได้รับสินค้าแล้ว ทางร้านไม่รับคืน ทุกกรณีค่ะ)
กรณีที่ต้องการคืนพระ ต้องผ่านการตรวจสอบ เงื่อนไขมีดังนี้
ส่งพระเข้าตรวจสอบกับทางสมาคมพระเครื่อง หรือ เว็บไซส์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับ และออกใบรับรองอย่างชัดเจน
( โดยชี้ชัดว่า "เก๊" ทางร้านยินดีคืนเงินให้ทันที และจะออกค่าใช้จ่ายในส่วนการตรวจสอบคืนให้ด้วยค่ะ )
ทางร้านจะไม่ยอมรับการตัดสินจากบุคคลใดๆ ทั้งสิ้นที่อ้างตัวเป็นผู้รู้ และ ไม่มีเอกสารการตรวจสอบชัดเจน
จะยอมรับเฉพาะกรณีที่แจ้งไว้ข้างต้นเท่านั้น
โดยวัตถุมงคลจะต้องอยู่ในสภาพเดิมเหมือนดังในรูป ไม่ล้างผิว ชำรุดหักบิ่น และเสียสภาพจากเดิม
หน้าที่เข้าชม | 2,389,819 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,754,828 ครั้ง |
เปิดร้าน | 12 ก.พ. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 8 ก.ย. 2568 |